วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สำนวนสุภาษิตเเละตัวอย่างจากวิดิโอ

สำนวนสุภาษิต ” กบเลือกนาย “
สุภาษิต
ความหมาย :  หมายถึง การช่างเลือก ช่างสรรหาเพื่อที่จะให้ได้ในสิ่งที่ตนหวังหรือมีความต้องการ เป็นคนเลือกมาก แต่ท้ายสุดกลับได้ของที่ไม่ต้องการหรือไม่มีค่าอะไรเลย
สำนวนสุภาษิตที่คล้ายคลึงกัน : เลือกนักมักได้แร่

วิดีโอที่มาของสำนวนสุภาษิต นิทานเรื่องกบเลือกนาย

ตัวอย่าง
คุณเปรม (นามสมมุติ) เป็นหนุ่มไฮโซช่างเลือกในทุกๆเรื่องไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า น้ำหอม เครื่องประดับ รถ แม้แต่การคบเพื่อนก็ยังเลือกคบเฉพาะกลุ่มไฮโซด้วยกัน แต่เขาหารู้ไม่ว่าเพื่อนแต่ละคนที่เขาคบนั้นล้วนแต่หวังปอกลอกเขาทั้งสิ้น แถมเพื่อนแต่ละคนยังติดการพนันและยาเสพติดอีกด้วย เข้ากับสำนวนสุภาษิตที่ว่า กบเลือกนาย หรือเลือกนักมักได้แร่นั่นเอง
สำนวนสุภาษิต ” กระต่ายตื่นตูม ”
สุภาษิต
ความหมาย สำนวนนี้หมายถึงอาการตื่นตกใจในเหตุการณ์ที่สรุปขึ้นเองอย่างไม่มีเหตุผล ตื่นตกใจโดยไม่คิดถึงเหตุผลว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ด่วนสรุปอะไรง่ายๆ
สำนวนสุภาษิตที่คล้ายคลึงกัน : ตีตนไปก่อนไข้

วิดีโอที่มาของสำนวนสุภาษิต กระต่ายตื่นตูม

ตัวอย่าง
เมื่อวานก่อนมีตำรวจมาตั้งด่าน พร้อมโบกมือเรียกให้จอดรถ ฉันตกใจกลัวมากคิดว่าตำรวจมาสกัดจับคนร้ายแหกคุก หรืออาจสกัดจับรถขนยาบ้าก็ได้ แต่พอเปิดกระจก ตำรวจก็แจ้งให้ทราบว่าเป็นการตั้งด่านปกติไม่มีอะไร แล้วให้รถผ่านไปได้ สรุป : ฉันตกใจเป็นกระต่ายตื่นตูมไปเอง ^^”
วันนี้ขอนำเสนอคำพังเพยไทยที่ว่า  กลิ้งครกขึ้นภูเขา “  บางคนอาจแปลกใจว่า ทำไมไม่ใช้  “เข็นครกขึ้นภูเขา” ซึ่งจะได้ยินกันบ่อยพอสมควร นั้นจริงๆแล้วไม่ถูกต้อง ต้องใช้คำว่า “กลิ้งครก” ไม่ใช่ “เข็นครก” เพราะครกมีลักษณะกลมต้องพลิกเลื่อนไปจึงต้องใช้คำว่า ” กลิ้ง ”
กลิ้งครกขึ้นภูเขา
โคลงสุภาษิตประจำภาพในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามอธิบายความหมายว่า

ตนต่ำยศศักดิ์                      กูลวงศ์
หมายมุ่งเอาอนงค์               นาฏล้ำ
เหมือนกล้องครกขึ้นตรง   เขาสุด สูงนา
เห็นว่าป่วยการการก้ำ        กึ่งบ้าเบาหุน
สรุปความหมาย คำพังเพย  ” กลิ้งครกขึ้นภูเขา ” นั้นหมายถึง เรื่องที่กำลังจะทำนั้นจะทำให้สำเร็จนั้นทำได้ยากลำบาก ต้องใช้ความพยายามและความสามารถอย่างมาก เปรียบเสมือนการ กลิ้งครกขึ้นภูเขา
วิดีโอประกอบ
ตัวอย่างการนำไปใช้ :   “เขาเป็นคนขี้เกียจ กว่าจะเรียนจบได้ ก็ต้องเคี่ยวเข็ญกันอย่างหนัก เหมือน กลิ้งครกขึ้นภูเขา”

สำนวนสุภาษิต ” กำแพงมีหูประตูมีช่อง “  หรือ “กำแพงมีหู ประตูมีตา”
สุภาษิต
ความหมาย สำนวนสุภาษิตนี้หมายถึง สิ่งใดที่เป็นความลับเวลาจะพูดออกไปจะต้องระมัดระวังให้มาก เพราะอาจมีผู้อื่นได้ยินแล้วนำเอาความลับนั้นไปเปิดเผย
ที่มาของสำนวน เปรียบเปรยถึงว่าสิ่งรอบๆตัวเรา เช่น หลังกำแพง,หลังประตูหรือหน้าต่าง ยังมีคนที่อาจอยู่และได้ยินเวลาเราพูดเสมอ

วิดีโอตัวอย่างสำนวนสุภาษิต “ กำแพงมีหู ประตูมีช่อง ”

ตัวอย่าง
ถึงแม้ว่าในห้องทำงานของดาวเรืองนั้นจะปิดประตูหน้าต่างอย่างมิดชิด แต่ดาวเรืองก็ขอให้ฟ้าใสเพื่อนร่วมงานของเธอ เข้ามานั่งใกล้ๆ พร้อมกับกระซิบเบาๆ ถึงเรื่องที่เธอต้องการเล่าด้วยกลัวว่าผู้อื่นจะได้ยินเรื่องที่ทั้งสองพูดคุยกัน เพราะ กำแพงมีหูประตูมีช่อง ไม่ควรประมาท

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สํานวน สุภาษิต คําพังเพย ต่างกันอย่างไร ?


สํานวน สุภาษิต คําพังเพย ต่างกันอย่างไร ?

ความหมาย  และความแตกต่างระหว่าง สํานวน คําพังเพย  และสุภาษิต
สุภาษิต
สํานวน คือ คําพูด หรือ ถ้อยคําที่ค่อนข้างกระทัดรั ดูไพเราะสละสลวย สำนวนไทยจะมีความหมายโดยนัย เป็นลักษณะความหมายเชิงอุปมาเปรียบเทียบ จะไม่แปลความหมายตรงตามตัวอักษร
ตัวอย่างสำนวน เช่น ปากเสีย, ไขสือ ยกเมฆ, ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ ฯลฯ
คําพังเพย คือ ถ้อคําที่เปรียบเทียบเหตุการณ์ หรือเรื่องราวต่างๆ ที่พบเห็นได้ในการดํารงชีวิตของคนรุ่นก่อน โดยมากไม่เน้นการสั่งสอน แต่ ใช้ ในทํานองเสียดสีประชดประชันเพื่อให้สะท้อนความคิด ความเชื่อถือ และเป็นคติเตือนใจ หรือเป็นข้อคิดสะกิดใจให้นํามาปฏิบัติ
ตัวอย่างคำพังเพย เช่น งมเข็มในมหาสมุทร, ขิงก็ราข่าก็แรง, ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ฯลฯ
สุภาษิต คือ คำกล่าวที่มีคติสอนใจ สุภาษิตจึงมีลักษณะเดียวกับสำนวนและคำพังเพย แต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการสั่งสอน เตือนสติให้คิด ไม่มีการเสียดสีหรือติชมอย่างคำพังเพย เป็นถ้อยคำที่แสดงหลักความจริง เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วๆ ไป ภาษิตนี้ยังมีความหมายรวมไปถึง สัจธรรม คำสั่งสอนที่เป็นความจริงอันเที่ยงแท้ทางศาสนาด้วย
ตัวอย่างสุภาษิต เช่น ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว,  ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน, คนล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร ฯลฯ

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สุภาษิตไทยเเละที่มาของสำนวน

                                                     สุภาษิตไทย                                                                                                                  

กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี

                                                                                                                                                                  สำนวนสุภาษิตนี้ หมายถึงเมื่อถึงคราวบ้านเมืองนั้นๆถึงคราวยากลำบาก ก็ยังเหลือคนดีมีความสามารถมาช่วยกอบกู้สถานการณ์ช่วยเหลือให้ผ่านพ้นไปได้
ที่มาของสำนวน คาดว่าน่าจะมาจากสมัยกรุงศรีอยุทธยาจริงๆ เนื่องจากปรากฎหลักฐานในสภาพขุนช้างขุนแผนด้วยว่า “คนดีไม่สิ้นอยุธยา” ในตอนเถรกวาดแก้แค้นพลายชุมพล สรุปความหมายกรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี หมายถึง เมื่อถึงคราวบ้านเมืองนั้นๆถึงคราวยากลำบาก ก็ยังเหลือคนดีมีความสามารถมาช่วยกอบกู้สถานการณ์ช่วยเหลือให้ผ่านพ้นไปได้ 

                                                                                                                                                       ขนมพอผสมกับน้ำยา

                                                                                                                                                                                       สํานวนสุภาษิตนี้ ใช้ในการเปรียบเทียบของทั้งสองสิ่งนั้นมีมูลค่า,ความดีความร้าย,ความสามารถ นั้นพอๆกัน ไม่ด้อยไปกว่ากัน
ที่มาของสํานวน มาจาก “ขนมจีนน้ำยา” คือ ขนมจีนกับน้ำยาจะต้องผสมให้ได้ส่วนพอเหมาะ จึงจะรับประทานอร่อย ต้องกะส่วนให้มีสัดส่วนเข้ากันพอดีทั้งสองฝ่าย เมื่อรับประทานแล้วเกิดอร่อยไม่ใช่ว่าขนมจีนอร่อย หรือน้ำยาอร่อย แต่ควรอร่อยด้วยกันทั้งสองอย่าง               
   

กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา

สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึงคนที่เนรคุณคนเปรียบได้กับคนที่อาศัยพักพิงบ้านเขาอยู่แล้ว คิดทำมิดีมิชอบให้เกิดขึ้นภายในบ้านนั้น ทำให้เจ้าของบ้านที่ให้อาศัยต้องเดือดร้อน
ที่มาของสํานวน  มาจากที่คนโบราณเอาลักษณะของแมวที่ไม่ดี คือกินแล้วถ่ายไม่เป็นที่ โดยขึ้นไปขี้บนหลังคาให้เป็นที่สกปรกเลอะเทอะเพราะคนสมัยก่อนต้องการให้หลังคาสะอาดเพื่อรองน้ำฝนไว้กิน จึงเอาแมวที่ทำไม่ดีนี้ มาเปรียบเทียบกับคนชั่วที่ไม่รู้จักบุญคุณคน 


เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง

สํานวนสุภาษิตนี้ หมายความไปในทางที่ว่าเกลียดตัวเขาแต่อยากได้ผลประโยชน์จากเขา หรือของๆเขา เช่น คนหนึ่งปากบ่นว่าไม่ชอบเขา แต่เมื่อเขาให้ของมาก็รับไว้
ที่มาของสํานวน  บางคนเกลียดปลาไหลในรูปร่างของมัน แต่เมื่อเอามาแกง น้ำแกงมีรสหอมก็กินน้ำเเกง


ข้าวใหม่ปลามัน

สํานวนสุภาษิตนี้ หมายความ ของใหม่ๆอะไรก็ดูดีไปหมด มักใช้เปรียบเทียบสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ความรักยังหวานชื่นอะไรก็หอมหวานไปซะหมด
ที่มาของสํานวน คนในสมัยโบราณถือว่า ข้าวที่เก็บเกี่ยวในครึ่งปีหลัง เป็นข้าวที่ดีกว่าข้าวเก่า และปลาเป็นอาหารคู่กับข้าว ส่วนปลามันคือปลาในน้ำลดมีมันมากรับประทานอร่อย ซึ่งช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวใหม่จะตรงกับช่วง ที่มีปลามันพอดี